ตลาดโลหะมีค่านิวยอร์ค:ทองพุ่งขึ้นเกือบ 2% ขณะดอลล์ดิ่งลง
นิวยอร์ค--2 ธ.ค.--รอยเตอร์
ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้น 34.44 ดอลลาร์ หรือ 1.95% สู่ 1,802.89 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี โดยสามารถทะยานขึ้นเหนือระดับสำคัญที่ 1,800 ดอลลาร์ได้สำเร็จ และขึ้นไปแตะระดับ 1,803.94 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค. ในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐดิ่งลง โดยดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ชะลอตัวลงด้วย ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.66 ในช่วงท้ายวันพฤหัสบดี โดยรูดลงจาก 105.78 ในช่วงท้ายวันพุธ หลังจากดิ่งลงแตะ 104.56 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. หรือจุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน โดยการดิ่งลงของดอลลาร์ส่งผลให้ทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ราคาสัญญาทองล่วงหน้าปิดตลาดพุ่งขึ้น 3.1% สู่ 1,815.2 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทางด้านราคาโลหะเงินในตลาดสปอตปิดทะยานขึ้น 0.570 ดอลลาร์ หรือ 2.57% สู่ 22.765 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 22.784 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค. ส่วนราคาพลาตินั่มในตลาดสปอตปิดปรับขึ้น 8.60 ดอลลาร์ สู่ 1,041.32 ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาพัลลาเดียมในตลาดสปอตปิดพุ่งขึ้น 60.45 ดอลลาร์ หรือ 3.21% สู่ 1,941.48 ดอลลาร์/ออนซ์
นายจิม วิคคอฟ นักวิเคราะห์ของบริษัทคิทโค เมทัลส์กล่าวว่า ราคาทองได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อตามปัจจัยทางเทคนิค ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดส่งสัญญาณแบบสายพิราบ และถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์ก็ช่วยหนุนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐดิ่งลงด้วย ทั้งนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวที่สถาบันบรูคกิงส์ในกรุงวอชิงตันในวันพุธว่า เฟดอาจจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. โดยเขากล่าวว่า "เราคิดว่าการชะลอความเร็วในจุดนี้จะเป็นหนทางที่ดีในการรักษาสมดุลความเสี่ยง" อย่างไรก็ดี เขากล่าวเตือนว่าการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อจะยังคงดำเนินต่อไปอีกนาน และคำถามสำคัญยังคงไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งรวมถึงประเด็นที่ว่า อัตราดอกเบี้ยจำเป็นจะต้องปรับขึ้นจนถึงระดับใด และจำเป็นจะต้องปรับขึ้นต่อไปเป็นเวลานานเพียงใด นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกด้วยว่า การควบคุมภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลให้เฟดต้องใช้นโยบายที่จำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเวลานานระยะหนึ่ง
เทรดเดอร์ในตลาดสัญญาล่วงหน้า Fed funds คาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 91.0% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. และเทรดเดอร์คาดว่ามีโอกาส 9.0% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. โดยเทรดเดอร์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า อัตราดอกเบี้ย fed funds ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.83% ในปัจจุบัน จะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 4.87% ในเดือนพ.ค.ปีหน้า แทนที่จะแตะจุดสูงสุดที่ 5.06% ในเดือนมิ.ย.ปีหน้าเหมือนอย่างที่เคยคาดการณ์กันไว้ในช่วงเช้าวันพุธ ทั้งนี้ นักลงทุนเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่าเฟดจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจาก กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดนิยมใช้ ปรับขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. และดัชนี PCE แบบเทียบรายปีปรับขึ้น 6.0% ในเดือนต.ค. ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2021 หลังจากปรับขึ้น 6.3% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายปี ทางด้านดัชนี PCE พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. และดัชนี PCE พื้นฐานแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 5.0% ในเดือนต.ค. หลังจากปรับขึ้น 5.2% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายปี
ราคาทองเคลื่อนตัวอยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน, 100 วัน และ 200 วันในช่วงนี้ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณทางเทคนิคในทางบวก โดยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันอยู่ที่ 1,693.93 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี, ค่าเฉลี่ย 100 วันอยู่ที่ 1,713.09 ดอลลาร์ และค่าเฉลี่ย 200 วันอยู่ที่ 1,796.20 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของธนาคารเจพี มอร์แกนกล่าวว่า เนื่องจากเฟดจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของสหรัฐจึงมีแนวโน้มลดลง และปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นให้เขาคาดการณ์ในทางบวกต่อแนวโน้มราคาทองและราคาโลหะเงินในช่วงครึ่งหลังของปี 2023--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)
((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;